คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 40
ส่วนใหญ่คนพวกนี้อยู่สายประกวดค่ะ เพราะโอกาสจะทำง่ายกว่า และหาเงินง่ายกว่า
นี่พูดในฐานะคนเรียนหนังอยู่กับคนเหล่านี้นะคะ
หรือถ้าเทพมากๆ ไม่ได้หายไปไหนค่ะ แต่ส่งหนังไปตามเทศกาลตปท.หมด
มีคนไทยหลายคนนะคะทำหนังไปได้รางวัลเวทีตปท.เยอะมากก แต่คนไทยกลับไม่รู้เรื่องเลย เพราะไม่มีคนผลักดัน
คนติดตามคนชื่นชม ก็เด็กเรียนหนัง คนทำหนังพวกสายอินดี้ ทำกันเองดูกันเอง ต่อให้มีคุณภาพมันก้ไม่ไปไหนจริงมั้ยคะ
ในเมืองไทยโอกาสยังน้อยค่ะ
กลับมาที่คำตอบที่จขกท.ถามนะคะ ก็เพราะ อุตสากรรมภาพยนตร์ไทย เนี่ยแหละ
ยังเห็นแก่รายได้มากกว่าคุณภาพค่ะ หนังดีๆจากเด็กที่เรียนมาทฤษฎีแน่นๆเลยทำได้แค่ฉายตามเทศกาล ดีหน่อยคนก็ชม จบไปคนก็ลืม
โปรเจคหนังดีๆหลายเรื่องจากคนเหล่านี้ นายทุนมักจะไม่เอาค่ะ เพราะมันขายไม่ได้ มันไม่ตลาด ไม่ใช่แนวคนไทยซึ่งชอบหนังเบาสมอง
คนพวกนี้ก็อยู่ไม่ได้ ไปเป็นแค่ทีมงานในกองถ่าย หรืออาจยอมทิ้งแนวของตัวเอง ทิ้งสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วทำหนังแบบที่คนอื่นอยากดูแทน เพื่อความอยู่รอด
สุดท้ายคนดูนี่แหละค่ะตัวการสำคัญ เราบอกกันว่าเราอยากดูหนังคุณภาพ แต่เรากลับเสียตังให้แต่หนังแนวเดิมๆ ซ้ำซากแต่ดูสนุกแก้เครียด หนังแนวอื่น ที่ดูแล้วต้องคิด หนังที่มีประเด็นให้คิดตาม มีพื้นที่ให้ตีความ ก็คงไม่มีออกมาให้ดูหรอกค่ะ เพราะเค้าไม่มีคนดู ก็ไม่รู้จะขายไปให้ใคร
นี่พูดในฐานะคนเรียนหนังอยู่กับคนเหล่านี้นะคะ
หรือถ้าเทพมากๆ ไม่ได้หายไปไหนค่ะ แต่ส่งหนังไปตามเทศกาลตปท.หมด
มีคนไทยหลายคนนะคะทำหนังไปได้รางวัลเวทีตปท.เยอะมากก แต่คนไทยกลับไม่รู้เรื่องเลย เพราะไม่มีคนผลักดัน
คนติดตามคนชื่นชม ก็เด็กเรียนหนัง คนทำหนังพวกสายอินดี้ ทำกันเองดูกันเอง ต่อให้มีคุณภาพมันก้ไม่ไปไหนจริงมั้ยคะ
ในเมืองไทยโอกาสยังน้อยค่ะ
กลับมาที่คำตอบที่จขกท.ถามนะคะ ก็เพราะ อุตสากรรมภาพยนตร์ไทย เนี่ยแหละ
ยังเห็นแก่รายได้มากกว่าคุณภาพค่ะ หนังดีๆจากเด็กที่เรียนมาทฤษฎีแน่นๆเลยทำได้แค่ฉายตามเทศกาล ดีหน่อยคนก็ชม จบไปคนก็ลืม
โปรเจคหนังดีๆหลายเรื่องจากคนเหล่านี้ นายทุนมักจะไม่เอาค่ะ เพราะมันขายไม่ได้ มันไม่ตลาด ไม่ใช่แนวคนไทยซึ่งชอบหนังเบาสมอง
คนพวกนี้ก็อยู่ไม่ได้ ไปเป็นแค่ทีมงานในกองถ่าย หรืออาจยอมทิ้งแนวของตัวเอง ทิ้งสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วทำหนังแบบที่คนอื่นอยากดูแทน เพื่อความอยู่รอด
สุดท้ายคนดูนี่แหละค่ะตัวการสำคัญ เราบอกกันว่าเราอยากดูหนังคุณภาพ แต่เรากลับเสียตังให้แต่หนังแนวเดิมๆ ซ้ำซากแต่ดูสนุกแก้เครียด หนังแนวอื่น ที่ดูแล้วต้องคิด หนังที่มีประเด็นให้คิดตาม มีพื้นที่ให้ตีความ ก็คงไม่มีออกมาให้ดูหรอกค่ะ เพราะเค้าไม่มีคนดู ก็ไม่รู้จะขายไปให้ใคร
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 39
จริงๆ โทษแค่นายทุนไม่ได้ครับ ต้องโทษผู้บริโภค เพราะนายทุนแค่อยากจะลงทุนในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ
ต้องยอมรับว่าประเทศไทย มีปัญหามาจากผู้บริโภคไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรครับ
การที่ผู้บริโภคไม่มีคุณภาพ เป็นเพราะการศึกษา วัฒนธรรม และ สังคม
ประเทศไทยไม่ได้รับการสั่งสอนให้เข้าถึงศิลปะในเชิงวิพากษ์ (critical) ไม่ว่าจะเป็น วรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ ฯลฯ คนไทยเสพย์ไม่เป็นเลยซักนิด ยกตัวอย่างว่า ผมคิดว่าคนไทยเกินครึ่ง ฟังเพลง "ไม่เป็น" แบบที่เรียกว่าวิกฤต คือฟังแล้วไม่รู้จริงๆว่านักร้อง ร้องเพี้ยน หรือ ร้องตรงโน๊ต (tone deaf) (ยกตัวอย่างผู้ชนะ the voice ปีที่แล้ว http://www.youtube.com/watch?v=I0KyDp-7wDY) เวลาอ่านวรรณกรรม ก็ไม่รู้จักการวิเคราะห์แก่นเรื่อง การพัฒนาตัวละคร ฯลฯ ซึ่งสำหรับประเทศอื่นๆ ของเหล่านี้เค้าเรียนตั้งแต่ ม. ต้นอ่ะครับ (เรียนวรรณกรรม เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ เรียนดนตรี) มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆๆๆ สำหรับการพัฒนาตนเองในฐานะมนุษย์ (การเสพย์ศิลป์) เอาง่ายๆนะครับ ถ้าถามคนไทยว่าอะไรคือศิลปะที่ "ดี" จะมีแต่คนที่ตอบว่า "ของที่กูชอบ" โดยคนส่วนมากไม่สนในแง่ของ "เทคนิค" ที่สำคัญมากๆ ในการที่เราจะสามารถแยกแยะระหว่างของดี และ ของไม่ดีได้
นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว วัฒนธรรม และ สังคมเรา ก็เป็นตัวถ่วงความเจริญมากๆ ทั้งค่านิยมที่ต้องทำตาม "แบบแผน" ต้องทำตาม "ผู้ใหญ่" การไม่นิยมวิพากษ์วิจารณ์ (ตัวถ่วงการพัฒนาศิลปะขั้นรุนแรง) การทำอะไรแบบลวกๆ เฮ้อ (อันนี้ต่างประเทศก็เป็น แต่เผอิญผู้บริโภคเค้ากล้าวิจารณ์ และมีวุฒิภาวะในการวิจารณ์และเสพย์สื่อพอ)
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไก่กะไข่แหละครับ จริงๆเนี่ย ผมว่าวงการหนังไทยมีศักยภาพสูงมากๆๆ เนื่องจากคนไทยเก่งในวงการโฆษนามากๆๆๆ (แต่เหตุผลที่เก่ง เพราะว่าโฆษนามันยาว 30 วิ แตกต่างจากหนังมากๆ) ภาพสวย ไอเดียดี แต่ขาดความสามารถทางเทคนิคที่จะทำหนังให้มันเต็มเรื่อง ส่วนมากภาพสวย แต่มาถึงบทแล้วตายสนิทจริงๆ (โทษการศึกษาอยา่งเดียวเลย) อันนี้พูดถึงหนังกระแสหลัก
แต่ส่วนมากผมคิดว่าคนที่คุณพูดถึง ถ้าไม่ 1) ไม่รุ่งเพราะศิลป์ขัดกับการค้า ก็ 2) กลายเป็นคนทำหนังนอกกระแส ซึ่งจริงๆเมืองไทยก็มีพอสมควรนะครับ ทั้ง เป็นเอก พี่เจ้ย ฯลฯ แต่ก็นะ นอกกระแสมันก็นอกกระแส ที่ขาดก็คือคนทำหนังกระแสหลักที่มีคุณค่าในด้านเทคนิคในด้านศิลป์ ปัญหามันก็ไก่กับไข่แหละ เมื่อไม่มีตลาด ก็ไม่มีผู้ผลิต เมื่อไม่มีผู้ผลิต ผู้บริโภคก็ไม่มีช่องทางในการเรียนรู้
แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าเหมือนวงการเพลง ที่ปัจจุบันพัฒนามาเยอะมากๆๆ จากยุค 90 จากช่วงอัลเตอร์ดัง (แล้วตายไปเพราะวิกฤต ต้มยำกุ้ง) จนถึงช่วงแฟตดังในช่วงปี '00 (เบเกอรี่กลายเป็นค่ายกระแสหลัก โมเดิร์นด๊อกกลายเป็นเพลงชั้นครู สมอลรูมกลายเป็นเพลงกระแสหลัก ฯลฯ) ผมว่าวงการหนังก็คงจะพัฒนาไปตามกัน แต่ผมว่าวงการหนังยากกว่า เพราะต้องใช้งบเยอะกว่า จริงๆ วงการเพลงไทยที่พัฒนา เป็นเพราะต้นทุนในการผลิตถูกลง ทำให้คนที่ต้องการทำเพลงที่ไม่ได้อิงกับนายทุนหรือตลาด สามารถทำเพลงตามใจกรูออกมาได้ ตอนนี้การทำหนังก็เริ่มจะเป็นเหมือนกัน จาก DSLR ที่ถ่ายหนังในระดับดีได้ ฯลฯ
พูดมาเสียนาน ผมว่าพวกเราในฐานะผู้บริโภค ถ้าอยากเห็นวงการศิลปะเมืองไทยดีขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาความรู้ให้ตัวเอง ตั้งใจเสพย์สื่อในแง่วิพากษ์มากขึ้น และ เปิดใจในการวิพากษ์วิจารณ์ตามเทคนิค ไม่ใช่เน้นความชอบเป็นหลัก
ขอบคุณครับ
ต้องยอมรับว่าประเทศไทย มีปัญหามาจากผู้บริโภคไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรครับ
การที่ผู้บริโภคไม่มีคุณภาพ เป็นเพราะการศึกษา วัฒนธรรม และ สังคม
ประเทศไทยไม่ได้รับการสั่งสอนให้เข้าถึงศิลปะในเชิงวิพากษ์ (critical) ไม่ว่าจะเป็น วรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ ฯลฯ คนไทยเสพย์ไม่เป็นเลยซักนิด ยกตัวอย่างว่า ผมคิดว่าคนไทยเกินครึ่ง ฟังเพลง "ไม่เป็น" แบบที่เรียกว่าวิกฤต คือฟังแล้วไม่รู้จริงๆว่านักร้อง ร้องเพี้ยน หรือ ร้องตรงโน๊ต (tone deaf) (ยกตัวอย่างผู้ชนะ the voice ปีที่แล้ว http://www.youtube.com/watch?v=I0KyDp-7wDY) เวลาอ่านวรรณกรรม ก็ไม่รู้จักการวิเคราะห์แก่นเรื่อง การพัฒนาตัวละคร ฯลฯ ซึ่งสำหรับประเทศอื่นๆ ของเหล่านี้เค้าเรียนตั้งแต่ ม. ต้นอ่ะครับ (เรียนวรรณกรรม เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ เรียนดนตรี) มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆๆๆ สำหรับการพัฒนาตนเองในฐานะมนุษย์ (การเสพย์ศิลป์) เอาง่ายๆนะครับ ถ้าถามคนไทยว่าอะไรคือศิลปะที่ "ดี" จะมีแต่คนที่ตอบว่า "ของที่กูชอบ" โดยคนส่วนมากไม่สนในแง่ของ "เทคนิค" ที่สำคัญมากๆ ในการที่เราจะสามารถแยกแยะระหว่างของดี และ ของไม่ดีได้
นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว วัฒนธรรม และ สังคมเรา ก็เป็นตัวถ่วงความเจริญมากๆ ทั้งค่านิยมที่ต้องทำตาม "แบบแผน" ต้องทำตาม "ผู้ใหญ่" การไม่นิยมวิพากษ์วิจารณ์ (ตัวถ่วงการพัฒนาศิลปะขั้นรุนแรง) การทำอะไรแบบลวกๆ เฮ้อ (อันนี้ต่างประเทศก็เป็น แต่เผอิญผู้บริโภคเค้ากล้าวิจารณ์ และมีวุฒิภาวะในการวิจารณ์และเสพย์สื่อพอ)
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไก่กะไข่แหละครับ จริงๆเนี่ย ผมว่าวงการหนังไทยมีศักยภาพสูงมากๆๆ เนื่องจากคนไทยเก่งในวงการโฆษนามากๆๆๆ (แต่เหตุผลที่เก่ง เพราะว่าโฆษนามันยาว 30 วิ แตกต่างจากหนังมากๆ) ภาพสวย ไอเดียดี แต่ขาดความสามารถทางเทคนิคที่จะทำหนังให้มันเต็มเรื่อง ส่วนมากภาพสวย แต่มาถึงบทแล้วตายสนิทจริงๆ (โทษการศึกษาอยา่งเดียวเลย) อันนี้พูดถึงหนังกระแสหลัก
แต่ส่วนมากผมคิดว่าคนที่คุณพูดถึง ถ้าไม่ 1) ไม่รุ่งเพราะศิลป์ขัดกับการค้า ก็ 2) กลายเป็นคนทำหนังนอกกระแส ซึ่งจริงๆเมืองไทยก็มีพอสมควรนะครับ ทั้ง เป็นเอก พี่เจ้ย ฯลฯ แต่ก็นะ นอกกระแสมันก็นอกกระแส ที่ขาดก็คือคนทำหนังกระแสหลักที่มีคุณค่าในด้านเทคนิคในด้านศิลป์ ปัญหามันก็ไก่กับไข่แหละ เมื่อไม่มีตลาด ก็ไม่มีผู้ผลิต เมื่อไม่มีผู้ผลิต ผู้บริโภคก็ไม่มีช่องทางในการเรียนรู้
แต่อย่างไรก็ตาม ผมว่าเหมือนวงการเพลง ที่ปัจจุบันพัฒนามาเยอะมากๆๆ จากยุค 90 จากช่วงอัลเตอร์ดัง (แล้วตายไปเพราะวิกฤต ต้มยำกุ้ง) จนถึงช่วงแฟตดังในช่วงปี '00 (เบเกอรี่กลายเป็นค่ายกระแสหลัก โมเดิร์นด๊อกกลายเป็นเพลงชั้นครู สมอลรูมกลายเป็นเพลงกระแสหลัก ฯลฯ) ผมว่าวงการหนังก็คงจะพัฒนาไปตามกัน แต่ผมว่าวงการหนังยากกว่า เพราะต้องใช้งบเยอะกว่า จริงๆ วงการเพลงไทยที่พัฒนา เป็นเพราะต้นทุนในการผลิตถูกลง ทำให้คนที่ต้องการทำเพลงที่ไม่ได้อิงกับนายทุนหรือตลาด สามารถทำเพลงตามใจกรูออกมาได้ ตอนนี้การทำหนังก็เริ่มจะเป็นเหมือนกัน จาก DSLR ที่ถ่ายหนังในระดับดีได้ ฯลฯ
พูดมาเสียนาน ผมว่าพวกเราในฐานะผู้บริโภค ถ้าอยากเห็นวงการศิลปะเมืองไทยดีขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาความรู้ให้ตัวเอง ตั้งใจเสพย์สื่อในแง่วิพากษ์มากขึ้น และ เปิดใจในการวิพากษ์วิจารณ์ตามเทคนิค ไม่ใช่เน้นความชอบเป็นหลัก
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 33
ขอตอบคำถามที่ว่า "แต่ทำไมพอโตขึ้นคนเหล่านี้หายไปไหน"
พวกเขาไม่ได้อยากหายไปหรอกครับ แต่จำเป็นต้องหายไป
เพราะอยู่ไปก็ "ไม่มีกิน" ครับ
ถึงแม้จะมีสกิลอย่างที่ จขกท. กล่าว มีความสามารถล้นเหลือขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถสู้กับรสนิยมของตลาดได้ ก็คงรู้ๆกันอยู่แล้วว่าตลาดภาพยนตร์ของเมืองไทยชอบหนังแนวไหน และยังเปิดรับอะไรใหม่ๆน้อยมาก ทุกอย่างคือความเสี่ยง หนังเรื่องนึงต้องใช้ทั้งทุน เวลา และจำนวนคน ไม่เหมือนโฆษณาที่ถ่ายวันเดียวเสร็จ เพราะฉะนั้นเรื่องที่สตูดิโออยากทำต้องมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
หากถามว่าแล้วทำไมผู้สร้างไม่ลองเสี่ยงสร้างอะไรใหม่ๆมาบ้าง....ผมเป็นคนนึงที่เข้าไปคลุกคลีกับวงการ เคยเห็นบทหนังหลายๆเรื่องผ่านตา บางเรื่องก็แปลกใหม่มีแนวคิดที่ฉลาด แต่สุดท้ายก็โดนยุบโปรเจคไปโดยปริยาย ไม่ก็โดนดองไว้ก่อนเพราะยังไม่พร้อมทำ ถึงบางเรื่องทำออกมาแล้วรายได้ก็ยังไม่เยอะเท่าหนังแนวเดิมๆอยู่ดี และถ้าทำออกมาเจ๊งก็กู้กลับคืนยาก มันจึงไม่คุ้มกับการเสี่ยงครับ
ด้วยสาเหตุนี้วงการหนังไทยจึงกระเตื้องช้ามาก มันเป็นสิ่งที่โทษใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนดูหรือคนทำ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือรสนิยมมันฝังลึกอยู่ในชนชาติเราอยู่แล้ว สังคมไทยส่วนมากชอบอะไรที่ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ขอแค่ตอบสนองทางด้านอารมณ์ก็พอ อีกทั้งเรายังถูกปลูกฝังมาด้วยความเชื่อและกรอบหลายๆอย่าง ฉะนั้นคุณไม่สามารถเปลี่ยนให้คนๆนึงที่หุงข้าวกินทุกวันมากินแฮมเบอร์เกอร์ทุกวันได้ทันที แต่ต้องค่อยๆให้ลองกินเป็นบางมื้อ ถึงแม้จะไม่ถูกปากก็ต้องลองปรับสูตรดู
เราคนทำหนังไทยก็อยากเห็นอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นเหมือนกันครับ แต่ปากท้องก็ต้องมาก่อน ทุกคนในวงการต้องทำอย่างอื่นเลี้ยงชีพกันทั้งนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าเหมือนกันที่เราไม่สามารถทำสิ่งที่เรารักเป็นอาชีพได้อย่างเต็มที่ เราทุกคนอยากเปลี่ยนแปลงครับ แต่ต้องการเวลา และโอกาสเท่านั้น
พวกเขาไม่ได้อยากหายไปหรอกครับ แต่จำเป็นต้องหายไป
เพราะอยู่ไปก็ "ไม่มีกิน" ครับ
ถึงแม้จะมีสกิลอย่างที่ จขกท. กล่าว มีความสามารถล้นเหลือขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถสู้กับรสนิยมของตลาดได้ ก็คงรู้ๆกันอยู่แล้วว่าตลาดภาพยนตร์ของเมืองไทยชอบหนังแนวไหน และยังเปิดรับอะไรใหม่ๆน้อยมาก ทุกอย่างคือความเสี่ยง หนังเรื่องนึงต้องใช้ทั้งทุน เวลา และจำนวนคน ไม่เหมือนโฆษณาที่ถ่ายวันเดียวเสร็จ เพราะฉะนั้นเรื่องที่สตูดิโออยากทำต้องมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
หากถามว่าแล้วทำไมผู้สร้างไม่ลองเสี่ยงสร้างอะไรใหม่ๆมาบ้าง....ผมเป็นคนนึงที่เข้าไปคลุกคลีกับวงการ เคยเห็นบทหนังหลายๆเรื่องผ่านตา บางเรื่องก็แปลกใหม่มีแนวคิดที่ฉลาด แต่สุดท้ายก็โดนยุบโปรเจคไปโดยปริยาย ไม่ก็โดนดองไว้ก่อนเพราะยังไม่พร้อมทำ ถึงบางเรื่องทำออกมาแล้วรายได้ก็ยังไม่เยอะเท่าหนังแนวเดิมๆอยู่ดี และถ้าทำออกมาเจ๊งก็กู้กลับคืนยาก มันจึงไม่คุ้มกับการเสี่ยงครับ
ด้วยสาเหตุนี้วงการหนังไทยจึงกระเตื้องช้ามาก มันเป็นสิ่งที่โทษใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนดูหรือคนทำ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือรสนิยมมันฝังลึกอยู่ในชนชาติเราอยู่แล้ว สังคมไทยส่วนมากชอบอะไรที่ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ขอแค่ตอบสนองทางด้านอารมณ์ก็พอ อีกทั้งเรายังถูกปลูกฝังมาด้วยความเชื่อและกรอบหลายๆอย่าง ฉะนั้นคุณไม่สามารถเปลี่ยนให้คนๆนึงที่หุงข้าวกินทุกวันมากินแฮมเบอร์เกอร์ทุกวันได้ทันที แต่ต้องค่อยๆให้ลองกินเป็นบางมื้อ ถึงแม้จะไม่ถูกปากก็ต้องลองปรับสูตรดู
เราคนทำหนังไทยก็อยากเห็นอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นเหมือนกันครับ แต่ปากท้องก็ต้องมาก่อน ทุกคนในวงการต้องทำอย่างอื่นเลี้ยงชีพกันทั้งนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าเหมือนกันที่เราไม่สามารถทำสิ่งที่เรารักเป็นอาชีพได้อย่างเต็มที่ เราทุกคนอยากเปลี่ยนแปลงครับ แต่ต้องการเวลา และโอกาสเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 6
1. คนดูหนังเป็น ตีควาเมก่ง ไม่ได้หมายความว่าจะมีทักษะในการเป็นผู้กำกับที่ดีหนิครับ
2. ต่อให้มีผู้กำกับที่ดี ถ้าเขาไม่ได้เป็นสุดยอดมหาเศรษฐีที่มีเงินพร้อม ก็ต้องไปพึ่งนายทุน ซึ่งนายทุนก็ต้องดูตลาดบ้านเรา
ว่ามันขายได้ไหม ก็ดู ๆ เอาว่าหนังแนวไหนขายได้ ถ้าทำแบบโนแลน จะขายได้ไหม จะทำรอดหรือเปล่า คุ้มความเสี่ยงไหม
3. ผู้กำกับเทพ แล้วทีม ทีมมีไหม คนไทยเก่งก็จริง แต่ฝีมือระดับ hollywood ผมว่าบางตำแหน่งบางสาขา ยังหาเก่ง ๆ ยาก
ยิ่งมารวมตัวกันแล้วด้วย = ตูม บูม สูม ยาาาาก
2. ต่อให้มีผู้กำกับที่ดี ถ้าเขาไม่ได้เป็นสุดยอดมหาเศรษฐีที่มีเงินพร้อม ก็ต้องไปพึ่งนายทุน ซึ่งนายทุนก็ต้องดูตลาดบ้านเรา
ว่ามันขายได้ไหม ก็ดู ๆ เอาว่าหนังแนวไหนขายได้ ถ้าทำแบบโนแลน จะขายได้ไหม จะทำรอดหรือเปล่า คุ้มความเสี่ยงไหม
3. ผู้กำกับเทพ แล้วทีม ทีมมีไหม คนไทยเก่งก็จริง แต่ฝีมือระดับ hollywood ผมว่าบางตำแหน่งบางสาขา ยังหาเก่ง ๆ ยาก
ยิ่งมารวมตัวกันแล้วด้วย = ตูม บูม สูม ยาาาาก
แสดงความคิดเห็น
รู้จักเด็กมหาลัยไทยที่เรียนหนังก็ดูหนังตปทเยอะ เข้าใจองค์ประกอบ รายละเอียดของหนัง แต่ทำไมในไทยถึงไม่มีผกกแบบNolan เลย
ส่วนใหญ่แนวเดียวกัน คือจะแต่งตัวเป็น ชอบกินกาแฟ อ่านนิตยสาร a day
หลายคนชอบดูหนังมากๆ มากนี่คืออย่างน้อยวันละเรื่อง คงดุกันเป็นพันๆเรื่องแล้ว
ใน Top 100 imdb ดูกันเกือบครบทุกเรื่อง
และเวลาไปนั่งกินเหล้าที่หอมันนะ มันสามารถวิจารณ์หนังได้อย่างถึงแก่น
เห็นนั่งซดเลียร์ ดูดบุหรี่ปุ๊ยๆไป คุยไป แต่สาระจริงๆเลยนะที่มันพูดอ่ะ อธิบายเลยว่าฉากนี้เป็นแบบนี้เพราะอะไร มุมกล้องแบบนี้สร้างความรู้สึกอย่างไร ตีความได้ว่าอย่างไร
รู้จักผู้กำกับออลลีวูดดังๆเกือบหมด อธิบายได้เลยว่า เอกลักษณ์หนังของ ผกก แต่ละคนเป็นอย่างไร
คือเรามีคนที่ชอบหนังและดูหนังเยอะ และชอบพูดคุยเรื่องหนังแบบจริงๆจังๆ แบบนี้หลายคนเลยนะ
แต่ทำไมพอโตขึ้นคนเหล่านี้หายไปไหน
กลายเป็น คน แบบ พจน์ อานนท์ ที่มาทำหนังแทน
ทำไมประเทศเราถึงสร้าง ผกก แบบ Nolan,Woody allen,akira kurosawa แบบตปทไม่ได้